ศาลแขวงสุรินทร์
ประวัติศาลแขวงสุรินทร์
ศาลแขวงเดิมเรียกว่า โปรีสภา ศาลแขวงสุรินทร์จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๓ และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเขตอำนาจและวันเปิดทำการของศาลแขวงในบางจังหวัด พ.ศ. ๒๕๐๐ มาตรา ๖ ศาลแขวงสุรินทร์ได้เปิดทำการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๐ มีนายเฉลิม สถิตย์ทอง เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล นายวีระ ทรัพย์ไพศาล เป็นผู้พิพากษา วันเปิดทำการไม่มีอาคารศาลเป็นเอกเทศของตน ต้องต่อเติมชั้นล่างของอาคารศาลจังหวัดสุรินทร์เดิม ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นที่ทำการ โดยอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวอาคาร มีห้องผู้พิพากษาและห้องพิจารณาอยู่ชั้นล่าง จนกระทั้ง ถึงปีพ.ศ.๒๕๒๓ เนื่องจากศาลแขวงสุรินทร์และศาลจังหวัดสุรินทร์หลังเก่าคับแคบแออัด ไม่สะดวกในการพิจารณาคดีและประชาชนผู้มาติดต่อ ทั้งจำนวนคดีความก็เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จึงได้ทำการก่อสร้างอาคารศาลจังหวัดสุรินทร์ขึ้นใหม่ คือ อาคารปัจจุบันนี้ ตั้งอยู่เลขที่ ๕๘๘ ถนนหลักเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เปิดทำการเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๕ โดยศาลแขวงสุรินทร์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอาคารศาลจังหวัดสุรินทร์ มีห้องผู้พิพากษา ๑ ห้อง ห้องธุรการ ๑ ห้อง ห้องพิจารณาคดี ๓ ห้อง ห้องสืบพยานเด็ก ห้องไกล่เกลี่ย และห้องเก็บสำนวนความ ๑ ห้อง
ประชากรในจังหวัดสุรินทร์พูดภาษาพื้นเมือง ๓ ภาษา คือ ภาษาเขมร ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ภาษาลาว ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ภาษาส่วย ๑๐ เปอร์เซ็นต์
ในวันเปิดทำการเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๐ มีเขตอำนาจศาลเฉพาะอำเภอเมืองเท่านั้น ต่อมา ในปีพ.ศ.๒๕๑๗ ได้มีพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงเพิ่มเขตอำนาจศาลแขวงสุรินทร์ ในอำเภอจอมพระ และอำเภอปราสาท กิ่งอำเภอกาบเชิง อำเภอท่าตูม อำเภอศีขรภูมิ อำเภอสำโรงทาบ ปี พ.ศ.๒๕๓๐ ให้ศาลแขวงสุรินทร์มีเขตอำนาจในอำเภอรัตนบุรี อำเภอสังขะ และกิ่งอำเภอลำดวน
ต่อมาวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๓ ศาลจังหวัดรัตนบุรีเปิดทำการ เขตอำนาจศาลแขวงสุรินทร์ จึงเปลี่ยนไป ในปัจจุบันมีเขตอำนาจในท้องที่จังหวัดสุรินทร์ รวม ๑๑ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสุรินทร์ อำเภอจอมพระ อำเภอศีขรภูมิ อำเภอสังขะ อำเภอลำดวน อำเภอปราสาท อำเภอกาบเชิง อำเภอบัวเชด อำเภอพนมดงรัก อำเภอเขวาสินรินทร์ และอำเภอศรีณรงค์
เมื่อวันที่ ๓ มี.ค. ๒๕๕๗ ศาลจังหวัดสุรินทร์ได้ย้ายที่ทำการไปยังอาคารหลังใหม่ ศาลแขวงสุรินทร์จึงเป็นผู้ดูแลอาคารศาล โดยใช้ร่วมกับศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์จนถึงวันที่ 1 กันยายน 2560